AEC กับภาคตะวันตกไทย
คนภาคตะวันตกต้องเตรียมความพร้อมอะไรกันบ้าง ในการรองรับการเปิดประเทศทุกทิศทาง กับอภิมหาโปรเจคระหว่างประเทศ “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” (AEC : ASEAN Economic Community ) ในอีกไม่ถึง 4 ปีข้างหน้า คือ ปี 2015 ” ซึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) มีอยู่ทั้งหมด 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียตนาม แม้ว่าในอดีตภาคตะวันตกมักไม่ค่อยอยู่ในสายตาของรัฐบาลนัก แต่จากนี้ต่อไป คงจะต้องหันมาดูแลมากขึ้น ธุรกิจสาขาต่าง ๆ กงจะมีคนลงมาส่งเสริมจัดการให้เข้ารูปเข้ารอยกว่าเดิม
ภาคธุรกิจของไทยร้อยละ 80-90 เป็นธุรกิจประเภท SME จึงถือว่า SME เป็นกระดูกสันหลังของธุรกิจไทย แต่แนวทางที่ทำ คือ มุ่งแข่งขันภายในประเทศเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ยังไม่ได้มองเรื่องที่จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเดิมตั้งเป้าว่าจะเกิดขึ้นในปี 2020 และแล้วไทยกับประเทศสมาชิก 5 ประเทศ ก็ได้ประกาศจะรวมตัวกันปี 2015 เร็วกว่าเดิมขึ้นมา 5 ปี ประเด็นสำคัญก็คือ ลดอัตราภาษีลงเหลือศูนย์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทยหลายด้านโดยเฉพาะปัญหาแรงงานมีฝีมือมีจำกัด จะยิ่งไหลออกนอกประเทศ ความพร้อมในการปรับตัวของสถานประกอบการที่จะแข่งขันกับประเทศคู่แข่ง และการพัฒนาด้านบุคลากรในธุรกิจทุกสาขาที่ยังไม่มีการเตรียมกันเท่าที่ควร
ในส่วนที่เกี่ยวกับภาคตะวันตก มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจคือ การเปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดน เส้นทางบ้านพุน้ำร้อน –ทวาย ในพื้นที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เป็นถนน 4 เลน ระยะทางจากพุน้ำร้อนถึงท่าเรือน้ำลึกทวาย 160 กิโลเมตร ขณะนี้บริษัทอิตาเลี่ยนไทยได้สัมปทานโครงการ วงเงินลงทุน 4 แสนล้านบาท ในการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกที่ทวายและระบบโครงสร้างพื้นฐาน ถนนจากทวายถึงพุน้ำร้อนสร้างใกล้เสร็จ ชาวกาญจนบุรีมีความตื่นตัวกันมาก โดยเฉพาะหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด ข่าวคราวก็มีเผยแพร่ออกไปยังจังหวัดข้างเคียงพอสมควร เนื่องจากปัจจุบันการทำงานของภาครัฐมีระบบการทำงานแบบ “กลุ่มจังหวัด” มีการประชุมจัดทำแผนร่วมกัน ข่าวสารก็กระจายผ่านสื่อมวลชนให้ได้รับรู้กันพอสมควร แต่คงยังไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้มีการเจาะลึกว่าด้วยเรื่องของ AEC โดยตรง
เรื่องเร่งด่วนของผู้ประกอบการที่ควรทำ คือ
1. เร่งสร้างบุคลากร
2. เน้นปรับตัวเองทางด้านภาษา
3. ติดตามข่าว และเข้าใจถึงประโยชน์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ไทยจะเสียโอกาสหรือมีอุปสรรคอย่างไร โอกาสมักจะมาพร้อมกับอุปสรรคเสมอ จึงต้องปรับตัว เช่น เรียนรู้การขายระบบออนไลน์ที่ต้องมีหลายภาษา ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึง 4 ปีเท่านั้น
ภาครัฐยังให้ข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจเรื่องประชาคมอาเซียนไม่ดีพอ รัฐบาลต้องเร่งพัฒนาให้ความรู้เรื่องนี้ ต้องเปลี่ยนประเทศในฐานะที่มีศักยภาพสูงกว่า หรือควรร่วมมือกับประเทศคู่แข่งที่มีศักยภาพสูงกว่าเรา เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย มาร่วมเป็นพันธมิตร SME ส่วนใหญ่ของไทยส่งออกไปตลาดในกลุ่มประเทศที่สู้เราไม่ได้ ขณะที่ SME เป็นหนึ่งในภารกิจหลักของอาเซียน จึงต้องเร่งให้ความรู้ประชาชน
นอกจาก SME ที่ภาครัฐต้องให้การดูแลแล้ว เยาวชนที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่คือชนชั้นกลางที่เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว อาชีพที่ทำส่วนใหญ่จึงมักจะเป็น “มนุษย์เงินเดือน” หรือ “ลูกจ้างมืออาชีพ” ที่ทุกคนต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้น มาตรฐานความสามารถทางด้านวิชาชีพของตัวเราเป็นอย่างไร ต้องพัฒนาทักษะทางด้านภาษาอย่างไรบ้าง อย่างน้อยเพื่อให้เราถูกเลือกเข้าทำงาน เพราะคู่แข่งขันของเราจะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว
ตัวอย่างความตื่นตัวของคู่แข่ง ในการเตรียมความพร้อมสู่ AEC
ที่นครโฮจิมินห์ของเวียดนาม เมื่อ 13 ก.ย.2554 เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า จัดการประชุมส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด “สี่ประเทศหนึ่งจุดหมาย” มีรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและผู้แทนกว่า 200 คนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจาก 4 ประเทศเข้าร่วมการประชุม หวังดึงดูดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวและส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ลงทุนและประชาชนใน 4 ประเทศ ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบายการท่องเที่ยวและหารือมาตรการสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลงทุน โดยเน้นภาพลักษณ์ของทั้งสี่ประเทศว่าเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน
ธุรกิจการท่องเที่ยวของเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า ขยายตัวอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉลี่ยสูงกว่าอัตราขยายตัวรวมของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และของโลก โดยเมื่อปีที่แล้วทั้งสี่ประเทศมีนักท่องเที่ยวไปเยือน 10.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปี 2552
ธุรกิจการท่องเที่ยวของเวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่า ขยายตัวอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฉลี่ยสูงกว่าอัตราขยายตัวรวมของสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และของโลก โดยเมื่อปีที่แล้วทั้งสี่ประเทศมีนักท่องเที่ยวไปเยือน 10.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25 จากปี 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น